ชีวประวัติหลวงพ่อ "วิริยังค์ สิรินฺธโร"  ตอน จิตออกจากร่างครั้งที่ 1

ชีวประวัติหลวงพ่อ "วิริยังค์ สิรินฺธโร" ตอน จิตออกจากร่างครั้งที่ 1

08 สิงหาคม 2565, 07:00 น.

2,554

แชร์:

วันหนึ่ง อันเป็นประวัติศาสตร์ชีวิต ของ ด.ช.วิริยังค์ ในวัย 12 ขวบ ที่จะนำชีวิตหนึ่งนี้ต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เรียกว่า “บุญบันดาล” เพราะการเปลี่ยนแปลงแต่ละอย่างของชีวิตนั้นมันไม่ง่ายนัก ดังนั้น วันนี้จึงถือว่าเป็นวันเปลี่ยนแปลงชีวิตของ ด.ช.วิริยังค์ครั้งสำคัญ

วันนั้น น.ส.ขลิบ ซึ่งเป็นเพื่อนหญิงคนหนึ่งที่คุ้นเคยกับ ด.ช.วิริยังค์ อย่างมาก น.ส.ขลิบเป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างสูง เพราะได้รับการอบรมในทางธรรมมาจากพระอาจารย์ กงมา จิรปุญโญ ซึ่งกำลังมาสร้าง วัดป่าสว่างอารมณ์ บ้านใหม่สำโรง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ขณะนั้นเธอต้องไปต่อมนต์กับพระอาจารย์กงมา ทุก ๆ คืน คืนนี้เช่นเดียวกับคืนอื่น ๆ เมื่อเธอเสร็จธุรกิจทางบ้านแล้ว เธอก็รีบเดินเพื่อแวะไปที่วัด แต่ว่าวันนี้เธอออกจากบ้านล่าช้าไป พวกเขาไปกันก่อนหมดแล้ว เธอไม่มีเพื่อน ไม่กล้าเดินไปวัดคนเดียว เธอจึงแวะไปหา ด.ช.วิริยังค์ ให้ช่วยไปวัดเป็นเพื่อนเดินทางด้วย ด.ช.วิริยังค์ เป็นผู้รู้จักบุญคุณของผู้มีคุณอยู่เสมอ แม้ น.ส.ขลิบก็เช่นเดียวกันเธอเป็นผู้มีบุญคุณต่อ ด.ช.วิริยังค์มาก เพราะเธอเคยได้ช่วยงานช่วยการ เช่นการตำข้าวตักน้ำ งานหนักต่าง ๆ เธอมาช่วยเสมอโดยไม่คิดค่าตอบแทนแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อเธอมาขอร้องให้ไปส่งที่วัด ด.ช.วิริยังค์ก็ไม่ขัดข้อง ไปส่งเธอด้วยความเต็มใจ ด.ช.วิริยังค์ เตรียมจุดตะเกียงรั้วเดินตามหลัง น.ส.ขลิบไปส่งจนถึงวัด

วันนี้จึงเป็นวันเข้าวัดเป็นวันแรกของ ด.ช.วิริยังค์ ซึ่งไม่คุ้นเคยกับสำนักปฏิบัติกัมมัฏฐาน ดังนั้นจึงไม่รู้ขนบธรรมเนียม เมื่อเข้าไปถึงศาลาวัด ก็เข้าไปนั่งปะปนกับผู้หญิงที่พวกเขากำลังทำพิธีต่อมนต์ ขณะนั้นเองพระอาจารย์กงมา ท่างมองเห็น ด.ช.วิริยังค์ จึงเรียกและบอกว่า “วิรยังค์ นี่เธอทำไมไปนั่งข้างหลังผู้หญิง เธอนั่งที่นั้นเธอต้องกราบก้นผู้หญิง มาทางนี้ เป็นที่นั่งของผู้ชาย” ด.ช.วิริยังค์ต้องตกใจเพราะเราต้องไปนั่งใกล้พระอาจารย์ซึ่งครั้งแรก ด.ช.วิริยังค์ตั้งใจว่าเมื่อมาส่ง น.ส.ขลิบเพื่อนเราแล้วจะรีบกลับบ้าน แต่เพราะกลัวผีไม่กล้ากลับคนเดียว เลยต้องมานั่งปนกับผู้หญิงแล้วถูกพระอาจารย์เรียกให้ไปนั่งต่างหาก

ขณะที่ ด.ช.วิริยังค์ กำลังนั่งอยู่คนเดียวนั้น ต้องเกิดความลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งรำคาญทั้งหงุดหงิดกระวนกระวาย เพราะไม่เคยมานั่งจำกัดเขตอย่างนี้มาก่อน ทั้งนึกในใจว่า จะต้องนั่งอย่างนี้ไปอีกนาน เนื่องจากพวกเขาต่อมนต์กันนั้นจะไปเลิกถึงเที่ยงคืน เวลานี้ก็เพียง 2ทุ่มเท่านั้น เราจะต้องนั่งเฉย ๆ ไปอีกถึง 4 ชั่วโมง ด.ช.วิริยังค์ จึงมานั่งรำพึงและโมโหตัวเองว่าไม่ควรมาเลย และด.ช.วิริยังค์ ก็นึกในใจว่า “เราจะไม่มาอีกแล้ว ๆ ๆ” จนเหงื่อแตกท่วมตัว

ขณะที่ ด.ช.วิริยังค์กำลังนึกว่า “เราจะไม่มาอีกแล้ว ๆ ๆ” นานเท่าใดไม่ทราบ ปรากฏการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นในใจและอันปรากฎการณ์นี้เอง ที่ทำให้ ด.ช.วิริยังค์ ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาโดยสิ้นเชิง เมื่อ ด.ช.วิริยังค์ บ่นอยู่ในใจว่า “เราจะไม่มาอีกแล้ว ๆ ๆ” นั่นเอง ปรากฎว่าจิตของ ด.ช.วิริยังค์ ได้มีอาการประหลาด ๆ หายไปเฉย ๆ ลืมตัวหมดความรู้สึกโดยฉับพลัน จากนั้งปรากฏว่ามีร่างกายอีกร่างหนึ่ง เดินออกจากร่างกายเดิม ลงจากศาลาเดินไปตามลานวัดจนถึงบริเวณแห่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันเป็นที่สร้างอุโบสถและได้ยืนอยู่ที่นั่น ขณะนั้นปรากฏว่ามีลมชนิดหนึ่งพัดโชยเข้ามาสู่หัวใจ มันช่างเย็นชุ่มฉ่ำอะไรเช่นนั้น เป็นความสุขที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยในชีวิต ด.ช.วิริยังค์ได้อุทานมาในใจของตนเองว่า “คุณของพระพุทธศาสนายังปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบันนี้หรือ?” ด.ช.วิริยังค์ในร่างพิเศษได้ยืนอยู่อย่างนั้น มีความเยือกเย็นสบายจนไม่สามารถจะบรรยายได้เป็นเวลานาน แล้วก็เดินกลับมายังศาลาที่นั่งอยู่ เขาได้มองไปที่ร่างกายของเขาแล้วนึกว่า เอ...! ทำยังไงเราถึงจะเข้าสู้ร่างกายเราได้ ทันใดนั้นก็ปรากฎว่า มีความรู้สึกตัวขึ้น ขณะที่รูสึกตัวครั้งแรก หูนั้นได้ยินพวกหญิงชายทั้งหลายสวดมนต์กันอยู่ใกล้ ๆ แต่เหมือนกับเสียงนั้นไกลสุดกู่ และเสียงนั้นก็ได้ยินใกล้เข้ามา ๆ จนรู้สึกตัวเต็มที่ ด.ช.วิริยังค์ มีความรู้สึกว่าสบายจริง ๆ และอัศจรรย์ใจตัวเองจริง ๆ ว่าทำไมถึงดีอย่างนี้ แม้ด.ช.วิริยังค์ จะมีความกลัวท่านอาจารย์กงมาสักเพียงใดก็ตาม เพราะเพิ่งเข้าวัดเป็นวันแรกเขาไม่สามารถจะอดใจไว้อยู่

ด.ช.วิริยังค์ได้ขอโอกาสกราบเรียนความเป็นไปทที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้ถวายให้พระอาจารย์กงมาฟังอย่างละเอียด เมื่อพระอาจารย์กงมาได้ฟังแล้วถึงกับอุทานออกมาด้วยวาจาว่า “อื้อหือ ด.ช.วิริยังค์นี่ เรายังไม่ได้สอนฝึกสมาธิให้เลย ได้เกิดเป็นสมาธิเสียก่อนแล้ว เธอนี้น่าจะมีบุญมาแต่อดีต”

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ด.ช.วิริยังค์ ได้เปลี่ยนนิสัยเก่าโดยสิ้นเชิง เขาได้เริ่มเข้าวัดจำศีลสวดมนต์ภาวนา พอตกเย็นหลังจากเสร็จธุระการงานอาหารเย็นแล้วเขาจะส่งเจื้อยแจ้วเรียกพวกที่ใฝ่ธรรมให้ไปวัดทุก ๆ วัน ซึ่งแต่ก่อนนั้นเขาจะเป็นผู้นำเรียกร้องพรรคพวกไปหาเที่ยวเตร่ตามที่เที่ยวต่าง ๆ ถ้าคราวใดในระแวกใกล้หรือไกลมีงานมหรสพที่ไหนแล้วเขาเป็นขาดไม่ได้ต้องหาโอกาสไปเที่ยวดูมหรสพอันมีลิเก-ภาพยนตร์อย่างหามรุ่งหามค่ำทีเดียวแม้ผู้ปกครองห้ามปรามก็ไม่ยอมฟัง


ที่มา : หนังสือชีวิตคือการต่อสู้