ชีวประวัติหลวงพ่อ "วิริยังค์ สิรินฺธโร"  ตอน บรรพชาเป็นสามเณร

ชีวประวัติหลวงพ่อ "วิริยังค์ สิรินฺธโร" ตอน บรรพชาเป็นสามเณร

04 พฤศจิกายน 2565, 07:00 น.

1,437

แชร์:
บรรพชาเป็นสามเณร

ความสุขสบายทุกประการได้เกิดขึ้นแก่เด็กชายวิริยังค์แล้ว การลำบากยากเข็ญมรสุมแห่งความสุข ผจญภัยทุก ๆ อย่างได้ผ่านพ้นไปด้วยชัยชนะที่งดงามที่สุด เด็กชายวิริยังค์ ได้แต่บำเพ็ญกัมมัฏฐานภาวนาทั้งกลางวันและกลงคืน อย่างเข้มงวดกวดขันเองเต็มที่ หมดภาระกังวลทุก ๆ อย่างที่คั่งค้างหัวใจ จิตใจได้ บรรลุผลเป็นอย่างดี มีความเป็นสมาธิได้รับความสงบเยือกเย็น เป็นวิหารธรรม ขณะนี้เป็นเวลากาลเข้าพรรษา ยังไม่มีโอกาสที่จะบรรพชาเป็น สามเณร เพราะการบรรพชานั้นจะต้องเข้าไปจังหวัดจึงจะมีอุปัชฌาย์ 2 พระอาจารย์กงมาจึงให้บวชเป็นชีปะขาว นุ่งขาวห่มขาวรักษาศีล 5 เด็กชายวิริยังค์ จึงเป็นชีปะขาวในพรรษานั้น ออกพรรษาแล้ว เด็กชายวิริยังค์ จึงได้เข้าไปในจังหวัดนครราชสีมาทำการบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสุทธจินดา มีท่านเจ้าคุณธรรมฐิติเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๗๘ อายุ ๑๖ ปี เด็กชายวิริยังค์ได้ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวถึงอายุ ๑๔ ปี เด็กชายวิริยังค์ เริ่มได้รับ รสพระธรรมเมื่ออายุ ๑๓ ปี อยู่ด้วยความพยายามที่จะบวชถึงอายุ ๑๔ ปี บวชเป็นชีปะขาวอายุ ๑๕ ปี บรรพชาเป็นสามเณรอายุ ๑๖ ปี หลังจากบรรพชาแล้ว ส.ณ.วิริยังค์ พักอยู่วัดสาลวัน อันเป็นศูนย์กลาง การเผยแพร่การปฏิบัติธรรม ซึ่งมีพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม เป็นหัวหน้า ใหญ่ ต่อมาประมาณ ๗ วัน ส.ณ.วิริยังค์ ได้เข้าไปนมัสการพระ อุปัชฌาย์ เพื่อขอหนังสือสุทธิอันเป็นหนังสือประจำตัวพระภิกษุสามเณร ขณะที่ ส.ณ.วิริยังค์ เข้าไปนมัสการพระอุปัชฌาย์นั้นมีพระภิกษุสามเณรไปรอเพื่อ จะขอหนังสือสุทธิประมาณ ๑๐ รูป ส.ณ.วิริยังค์ เป็นสามเณรที่เล็กกว่าทุกองค์ เมื่อทุกรูปกราบพร้อมกับแสดงความจำนงค์ที่จะขอหนังสือสุทธิ อุปัชฌาย์ได้ ตั้งคำถามขึ้นว่า “นี่พวกเธอจะบวชตลอดชีวิตหรือจะสึก” พระภิกษุสามเณร เมื่อถูกถามไปทีละองค์ต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “แล้วแต่บุญ” อย่างนี้ทุกรูป เมื่อท่านถาม ส.ณ.วิริยังค์ ได้ตอบว่า “กระผมบวชนี้มิใช่บวชเพื่อจะสึก กระผมบวชเพื่ออยู่ครับ” อุปัชฌาย์ได้ฟัง ส.ณ.วิริยังค์ ตอบชอบใจแล้วพูดว่า เณร รูปนี้แปลกกว่าเพื่อน องอาจกล้าหาญ ตอบฉะฉาน บอกว่าที่บวชนี้ไม่ใช่ บวชเพื่อสึก บวชเพื่ออยู่ นับว่ามีความตั้งใจมั่นคงดีจึงตอบได้อย่างนี้ เมื่อ ทุกรูปได้รับหนังสือสุทธิแล้วก็พากันกลับ ส.ณ.วิริยังค์ ก็กลับมาที่วัดป่าสว่างอารมณ์ตามเดิม

ต่อมา ส.ณ.วิริยังค์ เดินทางกลับวัดป่าสว่างอารมณ์ แล้วตั้งใจบำเพ็ญ สมาธิภาวนาอย่างเข้มงวดกวดขันแก่ตัวเองเป็นอย่างยิ่ง แต่ ส.ณ.วิริยังค์.เป็นคน กลัวผีมาก เพราะประสาทอาจจะอ่อน ความกลัวผี ยังปรากฏอยู่ตลอดเวลา ที่อยู่ในที่เงียบสงัดเวลากลางคืน และคืนวันหนึ่ง พระอาจารย์กงมาฯ ได้ตักเตือน พระเณรในวัดทุกรูปว่าจงพากันปรารภความเพียรอย่าประมาท เนื่องจาก พวกเราเกิดมาแล้วต้องตายชีวิตเป็นของไม่เที่ยง เราทำความเพียรได้มาก เท่าไรนั่นคือกำไรของชีวิตที่มีอยู่ เราตายไปทำอะไรก็ไม่ได้ ถ้าเกิดมาอีกไม่ ได้พบคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ถึงเราจะมีศรัทธาก็ไม่มีโอกาสที่ จะทำสมาธิได้ การทำสมาธิต้องการความวิเวก ยิ่งวิเวกเท่าไรยิ่งทำจิตได้ผล ยิ่งเป็นสถานที่น่ากลัวเท่าไรยิ่งเป็นสมาธิง่ายมาก หลังจากที่พระอาจารย์ฯ ให้โอวาทแล้ว พระเณรต่างรูปก็ต่างกลับไปกุฏิของตนเอง ส่วน ส.ณ.วิริยังค์ มาคิดว่า เราจะต้องหาวิธีทำสมาธิให้ได้ผลยิ่งขึ้น พระอาจารย์บอกว่า ยิ่งเป็น สถานที่น่ากลัวยิ่งดี ส.ณ.วิริยังค์.มาคิดในใจว่า เรากลัวผีมาก หากว่าเราจะเดิน เข้าไปในป่าช้าคนเดียว เราอาจจะได้ทั้งวิเวกและน่ากลัว เห็นเป็นผลของ สมาธิมาก เราจะต้องลองเดินคนเดียว ในเวลากลางคืนคือคืนนี้ เข้าไปใน ป่าช้าที่เขาฝังศพผี พอนึกขึ้นมา ส.ณ.วิริยังค์ ขนลุกเกลียวเสียวทั้งตัว ไม่กล้าจะ ย่างก้าวไป แต่ใจหนึ่งก็คิดถึงว่าเราต้องการสมาธิ ความคิดทั้ง ๒ อย่างได้ ต่อสู้อย่างหนัก ในที่สุด ส.ณ.วิ. ก็ตัดสินใจเอาทางสมาธิ ส.ณ.วิริยังค์เดินไปคน เดียวมุ่งสู่ป่าช้า พวกเณรเห็น ส.ณ.วิริยังค์ เดินไปคนเดียวก็พากันแปลกใจว่า “เอเณรวิริยังค์นี่แปลกกลัวผีน่าดู แต่ทำไมวันนี้จึงกล้าไปคนเดียว” ส.ณ.วิริยังค์ ได้เดินอย่างองอาจทั้งกลัวทั้งอยากได้สมาธิ กัดฟันเดินไปคนเดียว เดินไป และเดินไปจนถึงป่าช้าเงียบสงัด มีทางเดินจงกรมอยู่ที่นั้น ส.ณ.วิ.รีบเข้าทาง เดินจงกรมทันทีที่ไปถึง ส.ณ.วิริยังค์ ก้มหน้าลงอธิษฐานจงกรมแล้วก็เดินไปเดินมา ขณะนั้น ส.ณ.วิริยังค์ รู้สึกว่ามันเสียวหลัง ๆ แต่ ส.ณ.วิริยังค์ก็กัดฟันสู้ในที่สุดความ เสียวหลังก็หายไป ส.ณ.วิริยังค์ เดินจงกรมไปมาอย่างสบายหายกลัว ขณะนั้นเอง สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ปรากฏว่าเห็นผีตัวสูงเท่ายอดไม้มายืนอยู่ข้างทางเดิน จงกรม ส.ณ.วิริยังค์ ตกใจมาก คิดจะวิ่งหนีกลับวัด แต่ ส.ณ.วิริยังค์คิดว่าหากวิ่งหนี กลับวัดพวกเณรมันคงหัวเราะเยาะเราๆ ก็จะต้องอายพวกเณรมัน แล้ว พระอาจารย์ก็จะตำหนิเราว่าเราขี้ขลาดตาขาว ส.ณ.วิริยังค์ ไม่ทราบจะตัดสินใจ อย่างไรจึงกัดฟันเดินจงกรมต่อ ส.ณ.วิริยังค์ มองไปที่ผีตัวนั้นเห็นตัวมันสูงขึ้นสูงขึ้น ส.ณ.วิริยังค์ กลัวมากกลัวจนตัวมึนหมด แต่ก็ฝืนเดินจงกรมต่อไป แต่ผีนั้นมันก็แสดงตัวของมันสูงใหญ่น่ากลัวยิ่งขึ้นทุกที ส.ณ.วิริยังค์ ไม่ทราบจะทำ ยังไง ทันใดนั้น ส.ณ.วิริยังค์ เลยตัดสินใจเดินตรงไปที่ผีมันยืนอยู่ นึกว่าไม่มันก็ เราต้องสู้กันให้รู้ดำรู้แดงละวะ ส.ณ.วิริยังค์.เดินตรงรี่เข้าไปใกล้ ที่ไหนได้ฝึกลับเป็นหัวต่อไฟไหม้ ส.ณ.วิริยังค์ดีใจและเสียใจพูดกับตัวเองว่า “เรามันตาฝาด กลัวหัวต่อได้ เรามันโง่ๆ” แล้ว ส.ณวิริยังค์.ก็เดินจงกรมต่อไป ตั้งแต่นั้น ส.ณ.วิริยังค์ก็หายกลัวผี และสามารถเดินจงกรมทำสมาธิที่ป่าช้าคนเดียวได้อย่างสบาย



ที่มา : หนังสือชีวิคือการต่อสู้